Get me outta here!

ThaiThaiOnline

ห้องเรียนภาษาไทยออนไลน์

Menu

Skip to content
  • หน้าห้อง
  • ครูประจำชั้น
    • ประวัติครูประจำชั้น
    • ผลงานของครู
    • …..ครูเป็นกวี…..
    • ครูเขียนบทความ
  • ลงทะเบียน

Author Archives

pattpattaraporn

ขนมแห่งวัฒนธรรม ขนมของ…คนรักกัน

ตุลาคม 4, 2014 by pattpattaraporn

“ไอ้ทิหรือพ่อกะทิ” หนุ่มกำพร้าพ่อแม่  อยู่ตัวคนเดียว  พูดจริงทำจริง  ขยันขันแข็งเอางานเอาการ  ทุกคนในหมู่บ้านล้วนรักและเอ็นดูไอ้ทิ   “แม่แป้ง” ลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่ปลั่งสาวสวยประจำหมู่บ้าน  นางกับไอ้ทิเจอกันในวันลอยกระทง  ทั้งคู่ขี่ควายสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์  “ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอเอาความรักแท้ที่จริงใจฝ่าฟันข้ามไป”  แล้วไอ้ทิก็รวบรวมเงินทองเท่าที่เก็บสะสมมาได้ไปบ้านผู้ใหญ่ปลั่งเพื่อสู่ขอแม่แป้ง  ซึ่งผู้ใหญ่ก็ต้อนรับมันอย่างดีด้วยชายฉกรรจ์ 6 นาย  พร้อมอาวุธครบมือ  ในที่สุดผู้ใหญ่ปลั่งก็ปิดหนทางความรักของไอ้ทิด้วยการคลุมถุงชนจัดงานแต่งงานให้ลูกสาวกับปลัดหนุ่มจากบางกอก

ไอ้ทิรู้ข่าวจึงรีบวิ่งทุรนทุรายหมายจะมาทำลายพิธี  ซึ่งผู้ใหญ่ปลั่งก็รู้ดีว่าไอ้ทิต้องกระทำแบบนี้  จึงขุดหลุมพรางดักรอเอาไว้
แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้าย  ก็แอบหนีหมายจะมาห้ามคนรักไม่ให้หลงกล เหตุการณ์ต่อไปนี้ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์ ได้แต่ปะติดปะต่อมาจากคำบอกเล่าของชาวบ้านแบบปากต่อปาก      .. คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม แม่แป้งแอบวิ่งฝ่าความมืดออกมาดักหน้าไอ้ทิ ไอ้ทิเห็นแม่แป้งวิ่งมาก็ดีใจ รีบวิ่งไปหา แม่แป้งเห็นไอ้ทิรีบวิ่งมาก็รีบวิ่งเข้าไปหาให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
ฉับพลัน…ร่างแม่แป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ปลั่งต่อหน้าต่อตาไอ้ทิทันที อารามตกใจ ไอ้ทิรีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือ อารามดีใจ สมุนชายฉกรรจ์ 6 นายของผู้ใหญ่ปลั่งรีบเข้ามาโกยดินฝังกลบ เพราะคิดว่าก้นหลุมมีเพียงไอ้ทิผู้เดียวที่อยู่ในนั้น
รุ่งเช้า ผู้ใหญ่ปลั่งเดินยิ้มมาขุดหลุมเพื่อดูผล ภาพเบื้องล่างพบไอ้ทิตระกองกอดทับร่างแม่แป้งลูกสาวของตน นอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อยิ้มถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่ปลั่งสั่งลูกสมุนสร้างเจดีย์คลุมครอบปิดหลุมนั้นไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนทั่วไปว่า อย่าคิดทำร้ายหรือทำลายความรักของใครอีกเลย สถานที่ตั้งเจดีย์นั้นไม่มีใครรู้แน่นอน จะมีก็แต่เพียงอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี
ทุกแรมหกค่ำเดือนหก ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้ทิกับแม่แป้งจะตื่นตั้งแต่มืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวาน ปรุงจากแป้งและกะทิ บรรจงแคะจากพิมพ์ แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกัน เป็นสัญลักษณ์ว่า จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป  ขนมนี้เรียกขานกันในนาม ขนมของ “คนรักกัน” หรือเรียกย่อๆ ว่า ” ขนม ค.ร.ก. ”

เรื่องเล่าน่ารักๆ  ซึ้งปนเศร้าของขนมซึ่งทำขายกันตามข้างถนน  ปากซอยเข้าบ้าน  ตลาดสด  ตลาดนัด  คงทำให้ทุกคนที่ได้อ่านมีรอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นในหัวใจ  คนไทยทุกเพศทุกวัย  ไม่ว่ายากดีมีจนรู้จักขนมครก  ฉันจำได้ว่าเมื่อลูกคนแรกอายุ 4 เดือน  เริ่มหัดกินอาหารเสริมนอกจากนม  น้ำส้ม,  กล้วยน้ำว้าครูด, ข้าวบด, ไข่แดง  ขนมครก, ขนมกรวยเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่คุณย่า  คุณยายมักใช้ป้อนลูกหลานให้อิ่มท้อง  ขนมครก  จึงเป็นอาหารมื้อแรกๆของเด็กไทย

ขนมครก เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง ทำจากแป้ง น้ำตาล และกะทิ แล้วเทลงบนเตาหลุม เวลาจะทานต้องแคะออกมา เป็นแผ่นวงกลม แล้วมักวางประกบกันตอนรับประทาน เป็นขนมของไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ  มีหลักฐานว่าขนมครกเป็นที่นิยมแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีการทำเตาขนมครกขายตั้งแต่ยุคนั้น ลักษณะเป็นหลุมของเตาขนมครกนี่เองที่มีลักษณะคล้ายครกตำข้าวจึงน่าจะเป็นที่มาของชื่อขนมครก  เพราะขนมไทยมักมีชื่อเรียกตามลักษณะขนม  หรือภาชนะที่ใส่  เช่น  ขนมถ้วยหน้ากะทิ ถ้าใส่ถ้วยตะไลก็เรียก “ขนมถ้วย” แต่เมื่อนำขนมใส่ลงในกรวยใบตองแล้วนึ่งให้สุกก็เรียกว่า “ขนมกรวย”หรือ “ขนมหางหนู” ก็เพราะปลายแหลมๆนิ่มๆ  ขนมครกและขนมไทยอื่นๆก็คงเหมือนกัน

ขนมไทย มีส่วนประกอบที่เป็นส่วนผสมหลัก 3 ชนิด คือ แป้ง น้ำตาลและมะพร้าว ซึ่งเป็นส่วนผสมที่หาได้ง่าย  ต้นทุนต่ำ  ส่วนขนมที่ทำจากไข่นั้นเพิ่งมีขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เช่น  ฝอยทอง  ทองหยิบ  ทองหยอด  ขนมหม้อแกง  ฯลฯ  ซึ่งคิดทำขึ้นโดยท้าวทองกีบม้าซึ่งเป็นลูกครึ่งโปรตุเกส   ญี่ปุ่น และเบงกอล  ขนมครกจึงเป็นขนมไทยแท้  แต่เดิมขนมครกใช้ข้าวเจ้าแช่น้ำโม่รวมกับหางกะทิ  ข้าวสวย และมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย  ผสมเกลือเล็กน้อยใช้เป็นตัวขนม ส่วนหน้าของขนมครกเป็นหัวกะทิ แต่ขนมครกที่ขายกันทั่วไปทุกวันนี้มักมีแต่ตัวขนมนิ่มๆ  กินกับน้ำตาลทราย  หรืออีกแบบหนึ่งที่เคยพบมีตัวขนมด้านนอกกรอบเกรียม  ส่วนหน้าหัวกะทิมีรสหวานโรยด้วยเผือก  ฟักทอง  ต้นหอม ฯลฯ  ฉันชอบขนมครกแบบแรกมากกว่าอาจเพราะเคยกินมาแต่เด็ก  และเป็นขนมครกแบบชาวบ้าน  ส่วนขนมครกมีหน้าเป็นลักษณะของขนมครกชาววัง  แต่ก็มีผู้นิยมซื้อหามารับประทานกันเยอะ  คนไทยนิยมรับประทานขนมครกร้อนๆ ตอนเช้า  แต่ก็มีขนมครกขายกันทั้งตลาดเช้า  ตลาดเย็น  บางคนรับประทานแทนข้าวเช้าข้าวเย็น  บางคนรับประทานกับกาแฟคล้ายปาท่องโก๋  บางคนรับประทานเล่นๆเป็นขนม  ขนมครกทำให้อิ่มท้องได้ซักพักใหญ่ๆทีเดียว

เรื่องเล่าเกี่ยวกับขนมครกยังมีอีกมากมาย  มีหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในธรรมบทเรื่องหนึ่งใจความโดยสรุปว่า  “ พระองค์ต้องการสั่งสอนโกสิยะเศรษฐีขี้เหนียว  แม้ว่าครอบครัวจะร่ำรวยก็ตาม  โดยวันหนึ่งเศรษฐีเห็นยาจกยากจนกำลังกินขนมครกก็อยากกินบ้าง  แต่ด้วยความขี้เหนียวก็อดกลั้นความอยากไว้เพราะกลัวสิ้นเปลืองเงินทอง  เมื่อภรรยาทราบก็แอบทำขนมครกโดยไม่ให้ใครรู้เพื่อจะให้สามีกินคนเดียว  เมื่อพระพุทธเจ้าทราบจึงให้พระโมคคัลลานะไปอบรมสั่งสอนโดยแสดงผลของการให้ทาน  เมื่อเศรษฐีได้ฟังก็เลื่อมใสนำขนมครกไปถวายพระพุทธเจ้า เปลี่ยนนิสัยกลายเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อทุกคน และหมั่นทำบุญให้ทานเป็นกิจวัตร ”  เพื่อสืบทอดประเพณีทำบุญตักบาตรที่มีมาแต่พุทธกาลจึงเกิดพระราชพิธีที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5  คือประเพณีการตักบาตรขนมเบื้องซึ่งเป็นพระราชพิธีในวัง  ทุกวันนี้ในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี  ตั้งแต่  พ.ศ.2437  ที่วัดแก่นจันทร์เจริญ  จังหวัดสมุทร สงครามชาวบ้าน  ลูกเล็กเด็กแดง  ผู้เฒ่าผู้แก่จะมาร่วมประเพณีตักบาตรขนมครกและน้ำตาลทราย ต่างร่วมแรงร่วมใจ เป็นส่วนหนึ่งในการจัดงานประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนและมีเพียงแห่งเดียวในโลก  ซึ่งทางชุมชนจัดต่อเนื่องยาวนานถึงร้อยกว่าปีมาแล้ว  โดยเริ่มจากสมัยนั้นชาวบ้านที่มาทำบุญตักบาตรโดยมากมีฐานะยากจน ท่านเจ้าอาวาสอยากให้ชาวบ้านทำบุญตักบาตรด้วยวิธีที่ไม่ต้องเสียเงินจำนวนมาก จึงให้นำขนมครกมาถวายแทนการตักบาตรด้วยอาหาร เพราะขนมครกสำหรับผู้คนที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องซื้อหา  วัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบของขนมครกก็หาได้ไม่ยากในชุมชน อีกทั้งยังเป็นขนมหวานซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครนำมาถวาย จึงกลายเป็นประเพณีการตักบาตรขนมครกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จากงานเล็กๆ ที่มีชาวบ้านในชุมชนช่วยกันจัดด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา  แรก เริ่มเดิมที ชาวบ้านบอกว่าต่างคนต่างทำขนมครกกันเองที่บ้าน แล้วนำมาตักบาตรรวมกันที่วัด โดยไม่ผิดแผกกับปัจจุบัน คือนำขนมครกใส่ใบตองนำไปวางถวายให้พระสงฆ์ไว้บนถาด และนำน้ำตาลทรายใส่บาตรที่เรียงรายอยู่  ปัจจุบันประเพณีตักบาตรขนมครกได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักมากขึ้น  ชาวบ้านจึงต้องมาช่วยกันทำขนมครก  ทั้งหยอด แคะ กันที่วัด เพื่อให้ขนมครกมีปริมาณเพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่อยากมาร่วมทำบุญกัน  กลายเป็นงานยิ่งใหญ่ระดับจังหวัด มีส่วนราชการเข้ามาช่วยเหลือในหลายๆ ด้าน งานนี้จึงมีชื่อเสียงมีนักท่องเที่ยวสนใจเข้ามาแวะเวียนเยี่ยมชมและทำบุญกันล้นหลาม ผู้คนมากมาย ทั้งชาวบ้านและเด็กๆ ในชุมชน รวมไปถึงนักท่อง เที่ยว ต่างช่วยกันหยอด  แคะ และช่วยนำขนมครกจัดเรียงใส่ในกระทงใบตองสีเขียวสวยไปวางเรียงบริเวณหน้าศาลาการเปรียญ  ทั่วทั้งบริเวณงานหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นขนมครกร้อนๆ  การเตรียมงานจึงต้องเริ่มกันตั้งแต่ฟ้ายังมืด  ชาวบ้านจะมารวมตัวกัน เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันตั้งแต่การโม่แป้งขนมครกเลยทีเดียว มีหลายส่วนที่ชาวบ้านร่วมกันช่วยดูแลและจัดการ เด็กๆต่างมาเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆเพื่อให้ซึมซับความสำคัญของงานบุญประเพณีประจำถิ่นของตน และเกิดความรู้สึกอยากสืบสานไว้ต่อไป  สิ่งที่ชาวบ้านและเด็กๆ ได้รับหลังจากจัดงานบุญประเพณีตักบาตรขนมครกเป็นความสามัคคีที่แฝงมาในความหอมกรุ่นของขนมครกหลายร้อยคู่ที่ ร่วมแรงแข็งขันทำขึ้นด้วยความศรัทธา  ขนมแห่งความรักกรุ่นกลิ่นแห่งศรัธาทางพระพุทธศาสนา  ส่งต่อความรักความห่วงใยจากปู่ตาย่ายายสู่ลูกหลาน  รุ่น  สู่รุ่น  หอมกรุ่น  อุ่นลิ้น  ละมุนละไมในหัวใจ  ขนมของคนรักกัน  ขนมครก…อาหารมื้อแรกๆของคนไทย.

 

                                          นางภัทรพร  ช่วยชนะ

2 Comments

ม้าสีหมอก…ของวิเศษของขุนแผน

ตุลาคม 4, 2014 by pattpattaraporn

นักรบสมัยโบราณ ทั้งเรื่องจริงและในนิยายมักจะมีพาหนะคู่ใจไม่ว่าจะเป็น “ช้าง” หรือ “ม้า” ตัวโปรดในการออกรบเสมอ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชมีม้ายูนิคอร์นชื่อ “บิวเซเฟอลัส” กวนอูแห่งสามก๊กมีม้าที่ได้รับมาจากโจโฉชื่อ “เซ็กเทา”  รินัลโด อัศวินเอกคนหนึ่งของพระเจ้าชาลมาญ  กษัตริย์ฝรั่งเศสสมัยสงครามครูเสดมีม้าชื่อ “เบยาร์ด” และขุนแผน ตัวเอกจากเสภาขุนช้างขุนแผนก็มีม้าศึกคู่กายชื่อว่า “สีหมอก”   สีหมอกเป็นม้ารุ่นที่ติดท้องแม่มาจากเมืองมฤท (มะริด) นัยว่าพ่อมันเป็นม้าน้ำเขาต้อนมาจนถึงเพชรบุรี มันซุกซนและเกเร เที่ยวไล่กัดม้าหลวงตัวอื่นในกองม้าวุ่นวายอยู่ตลอดจนเป็นที่เอือมระอา

มีลูกตัวหนึ่งชื่อสีหมอก                    มันออกวันเสาร์ขึ้นเก้าค่ำ
ร้ายกาจนักหนาในตาดำ                    เห็นม้าหลวงข้ามน้ำก็ตามมา…
ครานั้นขุนแผนแสนสนิท                ทุกทิศลือทั่วกลัวสยอง
เห็นม้าสีหมอกออกลำพอง              สมปองปรารถนาที่นึกไว้
ลักษณถูกต้องตำราสิ้น                       ดังองค์อินทร์เทวราชประสาทให้
ท่วงทีแคล่วคล่องว่องไว                    ก็เข้าไปหาหลวงทรงพลพลัน
อาชาตัวน้อยของท่านฤๅ                   จะขายซื้อเอาไว้อย่างไรนั่น
หากกระไรจงได้เมตตากัน               จะขอปันซื้อม้าสีหมอกไป

หลวงทรงพลหัวหน้าคุมกองม้าหลวงที่ซื้อมาใหม่จึงขายให้ขุนแผนในราคาสิบห้าตำลึง

ขุนแผนได้ฟังเจ้าของว่า                    สมมาดปรารถนาที่มุ่งหมาย
แก้เงินนับให้ไม่กลับกลาย                แล้วเยื้องกรายมาที่สีหมอกม้า
เสกหญ้าด้วยมหาละลวยใหญ่          เข้าใกล้สีหมอกแล้วบอกว่า
จะไปกับเราก็เข้ามา                            ยื่นหญ้าให้พลันในทันที
สีหมอกรับหญ้ามาเคี้ยวกลืน            ชมชื่นปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ให้มีใจจงรักด้วยภักดี                         ติดขุนแผนเดินรี่ตามหลังไป…

วันหนึ่ง ขุนแผนคิดถึงนางวันทองซึ่งถูกขุนช้างหลอกไปเป็นเมีย จึงบุกขึ้นไปบนเรือนขุนช้าง แล้วชวนนางวันทองหนีไปด้วยกัน ขุนแผนพานางวันทองหนีเข้าป่าไปพร้อมกับม้าสีหมอก  ขุนช้างยกพลตามไปก็รบแพ้ขุนแผน  พระพันวษาให้ยกทัพตามไปจับตัว  ตอนนี้ขุนแผนมีดาบฟ้าฟื้น และกุมารทองแล้ว ขุนแผนเสกหญ้าเป็นหุ่นยนต์ถืออาวุธออกรบกับกองทัพหลวง จนกองทัพถูกตีแตกแม่ทัพสองคนตายในที่รบ  ขุนแผน วันทองและม้าสีหมอกหลบอยู่ในป่าหลายเดือน จนนางวันทองตั้งท้องกลางป่า  ขุนแผนนึกถึงความผิดที่รบกับกองทัพพระพันวษา จึงเข้ามอบตัวกับพระพิจิตรที่เมืองพิจิตร แล้วฝากม้าสีหมอกไว้กับพระพิจิตร

สีหมอกเอ๋ยท่านจะส่งเราลงไป                       จะตายเป็นเป็นกระไรไม่รู้ที่
จึงพากันเข้ามาลาพาชี                                       แม้นมิตายครานี้คงพบกัน
วันทองว่าพี่สีหมอกของน้องเอ๋ย              เคยยากมาด้วยน้องในไพรสัณฑ์
ยุงลิ้นมันกินมาหลายวัน                                   อุตส่าห์ให้น้องนั้นได้ขี่มา
ต้องบุกป่าผ่าดงพงชัฏ                                       ดั้นดัดดงรามหนามหนา
อดอยากหญ้าฟางกลางพนา                             เป็นหลายวันคืนในป่ารก…
ขุนแผนว่าลาแล้วเจ้าเพื่อนยาก                        จะตายจากหรือจะพบกันวันหลัง
แม้นถ้าไม่มรณาชีวายัง                                     ถึงติดคุกคุมขังไม่วายคิด
จะเร็วช้าถ้ามีเวลาออก                                       จะมาหาสีหมอกที่พิจิตร
อยากจะพาเจ้าไปก็ได้คิด                                   ขุกชีวิตเรานี้จะมรณา…
สีหมอกฟังว่าน้ำตาไหล                                    ด้วยพระมนต์ดลใจให้ประจักษ์
กรอกหัวตัวสั่นรันทดนัก                                   เชยพักตร์แทบเท้าทั้งสองรา…

ระหว่างขุนแผนและนางวันทองถูกคุมกลับมากรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงลพบุรี ขุนแผนได้ซ่อนดาบฟ้าฟื้นไว้ในโพรงต้นไทรริมน้ำแล้วร่ายคาถาปิดปากโพรงไม่ให้ใครเห็นดาบได้  เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล ขุนแผนก็เล่าความจริงให้พระพันวษาฟังเรื่องที่ขุนช้างแย่งนางวันทองไป  ขุนแผนชนะคดีความกับขุนช้าง  ส่วนความผิดที่รบกับทัพหลวงทั้งยังฆ่าแม่ทัพตายไปสองคนนั้นพระพันวษาทรงยกโทษให้เพราะมีความชอบเมื่อครั้งอาสาไปรบเชียงใหม่จนได้ชัยชนะ  เมื่อมีศึกเชียงใหม่ครั้งที่สอง พลายงามลูกชายขุนแผนที่เกิดกับนางวันทองอาสานำทัพและขอตัวขุนแผนมาช่วย  ขุนแผนซึ่งติดคุกอยู่เพราะไปทูลขอนางลาวทองซึ่งถูกกักบริเวณอยู่ในวังจึงได้ออกจากคุก  ช่วยลูกชายนำทัพไปตีเชียงใหม่  ระหว่างทางได้แวะเมืองพิจิตร ขุนแผนได้พบม้าสีหมอกอีกครั้งหนึ่ง

ขุนแผนถามพระพิจิตรพลัน                            สีหมอกนั้นอยู่ดีฤๅเจ้าขา
พระพิจิตรว่าสีหมอกม้า                                    อยู่ดีแต่ชราถนัดใจ
เนื้อหนังพานติดจะเหี่ยวคร่ำ                           อันหญ้าน้ำค่ำเช้าหาขาดไม่
ข้าก็ช่วยเยี่ยมเยียนเวียนมาไป                          เกณฑ์ให้ไอ้จันมันเลี้ยงดู
ขุนแผนจึงชวนลูกชายพลัน                             ไปเยี่ยมม้าด้วยกันเสียสักครู่
ว่าพลางทางออกนอกประตู                              ตรงไปที่อยู่สีหมอกม้า
ไอ้จันครั้งเห็นยกมือไหว้                                  ฉันเลี้ยงไว้อ้วนพีดีนักหนา
พ่อลูกเข้าไปใกล้อาชา                                       ขุนแผนเสกหญ้าให้ม้ากิน
สีหมอกม้ามนต์เข้าดลใจ                                   จำได้รู้ประสาพูดจาสิ้น
ลงตีนโปกโปกโขกแผ่นดิน                              เพียงจะดิ้นหลุดแหล่งด้วยดีใจ
เลียชมดมทั่วทั้งกายา                                         ขุนแผนกอดม้าน้ำตาไหล
ลูบหลังสีหมอกแล้วบอกไป                             ข้านี้ต้องราชภัยเพิ่งพ้นมา
ไปติดคุกจนลูกทูลขอโทษ                        ท่านปล่อยโปรดจึงได้มาเห็นหน้า
เจ้าพลายนี้ลูกวันทองน้องยา                            ที่ท่านรับบุกป่ามากับเรา
สีหมอกฟังเหลียวหน้าหาวันทอง                   ไม่เห็นน้องอยู่ไหนให้สร้อยเศร้า
มิรู้ที่จะถามความหนักเบา                                เฝ้าแต่ดูลูกพ่อคลอน้ำตา
ขุนแผนบอกว่าข้าจะไปทัพ                              หมายจะรับไปด้วยช่วยอาสา
เพราะได้เคยเห็นใจแต่ไรมา                             จะไปได้ฤๅว่าท่านหย่อนแรง
สีหมอกดีใจจะไปทัพ                                         เต้นหรับร้องร่าดัดขาแข้ง
ดังบอกว่าข้าจะไปอย่าได้แคลง                        ขุนแผนแจ้งท่วงทีก็ดีใจ
จึงเด็ดยอดหญ้ามาเต็มมือ                                 ถือเสกด้วยพระเวทมุขใหญ่
ป้อนม้ากินหญ้าในทันใด                                 ระงับโศกโรคภัยให้บรรเทา
เดชะพระเวทวิเศษขลัง                                    สีหมอกมีกำลังขึ้นดังเก่า…

แล้วขุนแผนก็ขี่สีหมอกออกศึกเมืองเชียงใหม่ครั้งที่สองกับพลายงามลูกชาย ได้ชัยชนะอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากศึกในครั้งนี้ ก็ไม่ปรากฏชื่อของสีหมอกม้าศึกของขุนแผนยอดขุนพลอีกเลย

2 Comments

ห้องเรียนภาษาไทยออนไลน์

กันยายน 26, 2014 by pattpattaraporn


3

5

6

 

2 Comments

ยินดีต้อนรับ..สู่..ห้องเรียนภาษาไทยออนไลน์

กันยายน 24, 2014 by pattpattaraporn

.                เมื่อโลกก้าวย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑ กระแสเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด-วิธีการพัฒนา “พลเมืองโลก” รุ่นใหม่ ถูกจุดประกายขึ้น และได้รับการขานรับจากนักคิด นักการศึกษาทุกภูมิภาคของโลกอย่างกว้างขวาง ภายใต้กรอบคิดที่เรียกว่า 21 st  Century Skills  ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้มีคุณลักษณะที่พร้อมสำหรับการดำรงชีวิต และรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เพราะโลกที่ไร้พรมแดนและแคบลง ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และการสื่อสารตลอดจนนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของผู้คนในสังคมไทย และสังคมโลกทั้งด้านบวก และด้านลบ

.                  ภายใต้การขับเคลื่อนแนวคิดดังกล่าว หน่วยงาน องค์กร รวมทั้งบุคลากรด้านการศึกษา โดยเฉพาะ “ครู” ย่อมถูกคาดหวังให้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเป็นหัวขบวนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่นี้ “ครู” ในศตวรรษที่ ๒๑ ต้อง “เปลี่ยน” ทั้งบทบาท และวิธีการสอน ครูต้องสอนให้น้อยลง และสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้มากขึ้น โดยไม่เน้นการสอนสาระวิชา แต่เน้นสร้างแรงบันดาลใจ และอำนวยความสะดวกให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ

1 Comment

Post navigation

แหล่งเรียนรู้

พจนานุกรมราชบัณฑิต ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิต คำทับศัพท์ราชบัณฑิต logo11w                     

เข้าสู่ระบบ Log in

  • ลงทะเบียน
  • เข้าสู่ระบบ
  • Entries RSS
  • RSS ของความคิดเห็น
  • WordPress.org

เข้าห้องเรียน

คำและการสร้างคำ

Copyright © 2014. All Rights Reserved.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑๑ | ห้องเรียนภาษาไทยออนไลน์ โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา.

พัฒนาเว็บไซต์โดย ภัทรพร ช่วยชนะ.